บทที่ 12 วิธีปฏิบัติเมื่อข้าราชการตำรวจกระทำผิดทางอาญา ----------------- ข้อ 1 เมื่อข้าราชการตำรวจผู้ใดต้องหาว่ากระทำผิดอาญา ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย เว้นแต่เมื่อข้าราชการกระทำผิดต่อกันเองจะเป็นกรณีเรื่องใด ก็ตามซึ่งไม่มีบุคคลภายนอกวงการตำรวจเป็นผู้เสียหาย หรือมีบุคคลภายนอกเป็นผู้เสียหายแต่ผู้เสียหายไม่ประสงค์จะให้ดำเนินคดี แม้ข้อกล่าวหานั้นจะเป็นผิดต่อกฎหมายซึ่งมีโทษทางอาญาอยู่บ้างก็ตาม ให้ ผู้บังคับบัญชาสั่งตั้งกรรมการขึ้นสอบสวนเป็นภายใน เพื่อพิจารณาทางการปกครองบังคับบัญชาเสียชั้นหนึ่งก่อน (เว้นแต่การกระทำผิดเฉพาะหน้าซึ่งได้มีระเบียบอยู่แล้วว่าไม่ต้องตั้งกรรมการ) ถ้าการพิจารณาเห็นว่าการกระทำผิดนั้นเป็นการสมควรที่จะลงโทษในทางการปกครองตามกฎหมายว่าด้วยวินัยตำรวจ หรือกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน ก็ดำเนินการไปให้เหมาะสมกับรูปเรื่องแห่งความผิดนั้นๆ แต่ถ้าเห็นว่ากระทำผิดเรื่องเป็นการสมควรที่จะดำเนินคดีเพื่อฟ้องร้องยังศาล ก็ให้ส่งสำนวนการสอบสวนเรื่องนั้นๆ ไปยังผู้บังคับบัญชาเจ้าสังกัดโดยด่วนเพื่อพิจารณาสั่งการ เมื่อผู้บังคับบัญชาเห็นสมควรเสนอผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปเพื่อพิจารณาสั่งก็ให้เสนอได้ ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องควบคุมผู้ต้องหาในกรณีพิจารณาทางวินัย ให้ผู้บังคับบัญชาใช้ดุลพินิจให้เหมาะสมกับรูปเรื่อง ว่าสมควรจะควบคุมกันเพียงใดหรือไม่ ถ้าจำเป็นจะต้องควบคุมให้ใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยตำรวจ และให้พึงระลึกไว้ด้วยว่าการควบคุมนี้ควรใช้เฉพาะกรณีที่เห็นว่าจำเป็นต้องควบคุมจริงๆ เพราะถ้าได้ทำการควบคุมไว้แล้วหากภายหลังผู้บังคับบัญชาเหนือสั่ง ให้ดำเนินคดี และถ้าศาลลงโทษจำคุก ศาลอาจนับวันควบคุมรวมเข้ากับกำหนดโทษจำคุกได้ไม่ซึ่งเป็นผลให้เกิดการเสียหายแก่ผู้ต้องหา ข้อ2 ถ้าตำรวจผู้ใดต้องหาคดีอาญา เพราะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ หรือถูกแกล้ง กล่าวหาให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาหาทางช่วยเหลือให้ได้รับความเป็นธรรมจนเต็มความสามารถเท่าที่จะทำได้ ถ้าถึงต้องฟ้องร้องก็ให้จัดการขอให้พนักงานอัยการเป็นทนายแก้ต่างให้เฉพาะในเขตตำรวจนครบาลให้รายงานถึงกรมตำรวจส่วนนอกเขตนครบาล ให้ผู้บังคับบัญชาชั้นผู้กำกับขึ้นไปจัดการ ข้อ3 ตำรวจผู้ใดต้องหาคดีอาญา เพราะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต หรือถูกแกล้งกล่าวหา ไม่ต้องพิจารณาทัณฑ์ทางวินัยอย่างใดอีกเว้นแต่ต้องโทษจำคุกอันจะต้องปลด หรือ ไล่ออกตามกฎหมายก็ให้เป็นไปตามนั้น ข้อ 4 ถ้าปรากฏโดยชัดเจนว่า ตำรวจผู้ใดที่ปฏิบัติการตามหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต หรือถูกแกล้งกล่าวหา แล้วถูกศาลพิพากษาลงโทษจนถึงกับต้องออกจากราชการไป เมื่อพ้นโทษแล้ว ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาเสนอเหตุผลตามลำดับจนถึงกรมตำรวจ พร้อมด้วยสำเนาคำพิพากษา ถ้ากรมตำรวจเห็นสมควรให้กลับเข้ารับราชการก็จะได้จัดการให้ได้กลับเข้ารับราชการต่อไป
ข้อ 5 ตำรวจที่ถูกกล่าวหาคดีอาญาในเหตุอื่น นอกจากที่กล่าวตามข้อ 3 หรือซึ่งถูกตั้งกรรมการสอบสวนตามข้อ 1 ของบทที่ 12 เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ให้ผู้บังคับบัญชาจัดตั้งกรรมการสอบสวนพิจารณาทางวินัยเพื่อพิจารณาสั่งการไปประการใดแล้วรายงานให้กรมตำรวจทราบ ข้อ 6 ถ้าตำรวจต้องหาว่ากระทำผิดทางอาญาในกรณี ร้ายแรง ซึ่งไม่เหมาะสมที่จะให้คงรับราชการในหน้าที่ตำรวจสืบไป จะพิจารณาทัณฑ์ทางวินัยเพื่อไล่ออก ปลดออกหรือให้ออกเสียก่อนแล้วจึงจัดการฟ้องศาลก็ได้ แต่ในกรณีดังกล่าวนี้ให้กระทำต่อเมื่อมีหลักฐานอันแน่ชัดที่ควรเชื่อถือได้จริง ๆ ว่าได้กระทำผิดในกรณีร้ายแรงเท่านั้น ข้อ 7 ข้าราชการตำรวจซึ่งอยู่ในระหว่างถูกกล่าวหาในคดีอาญาก็ดี ทางวินัยก็ดี ห้ามมิให้ผู้บังคับบัญชาแนะนำหรือบีบบังคับให้ผู้ถูกกล่าวหาลาออก
บทที่ 13 การรายงานเมื่อต้องคดี ------------- ข้อ 1 เมื่อข้าราชการต้องคดี ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการกรมตำรวจหรือไม่ จะต้องรายงานให้ทางราชการทราบการรายงานจำแนกได้เป็น 2 กรณีคือ การรายงานตนและการรายงานเหตุการณ์เกี่ยวกับการต้องคดี ข้อ 2 เมื่อข้าราชการตำรวจต้องคดี ต้องปฏิบัติในการรายงานตน ดังนี้ (1) การรายงานตนให้รายงานเมื่อต้องหาคดีอาญา หรือถูกฟ้องศาลคดีแพ่งหรือคดีล้มละลายหรือถูกยึดทรัพย์ตามคำพิพากษาของศาล ครั้งแรกให้รายงานเมื่อถูกสอบสวนหรือถูกฟ้อง หรือถูกยึดทรัพย์โดยชี้แจงพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นโดยละเอียดภายใน 3 วัน นับตั้งแต่วันถูกจับหรือถูกเรียกตัวไปสอบสวนหรือวันรับหมายศาล หรือวันที่ถูกยึดทรัพย์เมื่อคดีนั้นคืบหน้าไปประการใด ให้รายงานอีกตามลำดับจนกว่าคดีจะถึงที่สุด หัวข้อที่จะรายงานให้รายงานโดยละเอียดพอที่ผู้รับรายงานจะทราบเรื่องได้ดี สำหรับข้าราชการตำรวจประจำการ ให้รายงานตามลำดับชั้นถึงกรมตำรวจ สำหรับข้าราชการตำรวจนอกประจำการซึ่งรับบำนาญให้รายงานตรงต่อกรมตำรวจ ข้อ 3 การรายงานเหตุการณ์เกี่ยวกับการต้องคดี เมื่อข้าราชการต้องคดีรวมทั้งข้าราชการนอกสังกัดกรมตำรวจด้วย ให้พนักงานสอบสวนและผู้บังคับบัญชาแล้วแต่กรณีจัดการรายงานดังต่อไปนี้ (1)ถ้าเป็นข้าราชการบำนาญหรือเบี้ยหวัดไม่ว่าสังกัดกระทรวงทบวงกรมใดรวมทั้งกรมตำรวจด้วยต้องหาคดีอาญา ให้พนักงานสอบสวนรายงานตามลำดับจนถึงกรมตำรวจ เพื่อแจ้งไปยังกรมบัญชีกลางทราบต่อไป (2) ถ้าเป็นข้าราชการประจำการสังกัดกระทรวงทบวงกรมอื่น ให้พนักงานสอบสวนรายงานตามลำดับจนถึงกรมตำรวจ เฉพาะกรณีที่มีมูลพอที่จะส่งฟ้องศาลได้เท่านั้นเว้นแต่ในส่วนภูมิภาคให้รายงานตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจสั่งพักราชการได้ เมื่อมีการจับกุมทหารหรือเมื่อทหารเป็นผู้กล่าวหาขอให้แจ้งยศ ชื่อ นามสกุล ตำแหน่งและสังกัด ให้ถูกต้องเพื่อความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ที่จะค้นหาหลักฐานและความรวดเร็วที่จะให้กิจการดำเนินไปโดยไม่ชักช้า (หนังสือกระทรวงกลาโหมที่ กห. 22920/2502 ลงวันที่ 28 ต.ค.2502 ส่งโดยแจ้งความที่ 37/2502) ส่วนพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐนั้น เมื่อต้องคดีให้รายงานเช่นเดียวกับการรายงานข้าราชการประจำเฉพาะกรณีที่มีมูล พอที่จะส่งฟ้องศาลได้เท่านั้น ( คำสั่งที่ 14/2504 ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2504 ) (3) การรายงานให้ปรากฏข้อความสำคัญดังต่อไปนี้โดยละเอียดด้วยคือ ก.ชื่อตัวและชื่อสกุลของผู้ถูกกล่าวหาและผู้ต้องหา ข.สถานที่และวันเดือนปีเกิดเหตุ ค. คดีมีข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดฐานใด ก็เป็นกรณีเกี่ยวแก่ทรัพย์ก็ให้ปรากฏจำนวนทรัพย์เสียหายมากน้อยเท่าใด ถ้าเป็นกรณีเกี่ยวแก่ประทุษร้ายต่อชีวิต หรือร่างกาย ก็ให้ปรากฏชัดเจนว่าถึงตายเพราะถูกทำร้ายหรือเหตุอื่นใด ในเรื่องบาดเจ็บควรลงให้ชัดว่าบาดเจ็บอย่างไร แพทย์ลงความเห็นว่ารักษากี่วันหายและถึงสาหัสเพียงใดหรือไม่ ง. ผู้ต้องหาถูกจับเมื่อใดถูกควบคุมอยู่หรือให้ประกันไปแต่เมื่อใด จ.ผู้ต้องหาเป็นข้าราชการประเภทใด ชั้นใด ดำรงตำแหน่งหน้าที่อะไรสังกัดกรมกระทรวงใด ฉ.พฤติการณ์ของผู้ต้องหาและหลักฐานแห่งกรณีที่เกิดขึ้นมีอย่างไรบ้าง ให้รายงานด้วย เพื่อประกอบการพิจารณาว่า ถ้าผู้ต้องหายังคงอยู่ในหน้าที่ราชการจะเสียแก่ราชการในหน้าที่ของผู้ต้องหาหรือไม่ เพื่อผู้บังคับบัญชาของผู้ต้องหาจะได้พิจารณาต่อไป (4) การรายงานดังกล่าวแล้วให้รายงานเมื่อมีการจับกุมหรือเรียกตัวมาสอบสวนและ ปรากฏว่ามีมลทินความผิด (5) เมื่อคดีถึงที่สุดประการใด ให้รายงานผลคดีให้ทราบพร้อมด้วยหลักฐานคำพิพากษา หรือคำสั่งให้ฟ้องของพนักงานอัยการ (6) ถ้าผู้ต้องหาเป็นข้าราชการตำรวจ นอกจากรายงานตามหัวข้อ (3) แล้วให้รายงานโดยละเอียดว่าควรตัดเงินเดือนเบี้ยเลี้ยงเพียงไร หรือถ้าเป็นคดีที่ศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ให้รายงานด้วยว่าควรจะให้กลับเข้ารับราชการ หรือไม่ หรือปลดประการใดหรือไม่พร้อมด้วยเหตุผล เว้นแต่กรณีที่ไม่สามารถจะรายงานให้ครบถ้วนในคราวเดียวกันได้ก็ให้แยกรายงานเป็นคนละคราวได้ ทั้งให้รายงานบอกไปให้ชัดเจน เมื่อกรมตำรวจได้รับรายงานแล้ว ถ้าเป็นกรณีข้าราชการตำรวจต้องหาคดีการเมือง หรือข้าราชการตำแหน่งตั้งแต่ชั้นผู้บังคับกองหรือเทียบเท่าขึ้นไป ต้องหาคดีอาญานอกจากความผิดฐานประมาท หรือลหุโทษหรือถูกฟ้องคดีล้มละลาย หรือถูกฟ้องทางแพ่ง เนื่องจากการปฏิบัติการตามหน้าที่ต้องรายงานให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยทราบด้วย (7) เฉพาะกรณีที่การสั่งลงโทษหรือสั่ง ให้ออกจากราชการตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน ก.พ. ได้วางระเบียบในการรายงานและการปฏิบัติไว้เป็นพิเศษ อีกปรากฏรายชะเอียดตามข้อ 14 ของบทที่ 7 ว่าด้วยการรายงานการลงโทษหรือสั่งให้ออกจากราชการสำหรับข้าราชการพลเรือนแล้ว
|